ร้านขายไมค์โครโฟน ราคาถูก เสียงดี มีให้คุณได้เลือกทั้งแบบไร้สาย ระบบ Blutooth สำหรับใช้ประชุมทางไกล สัญญาณชัด คลื่นรบกวนต่ำ หรือจะเป็นไมโครโฟนแบบมีสาย และเสียบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ก็ได้ ใช้งานร้องเพลงคาราโอเกะ อัดเสียง คุยกับเพื่อน เสียงดี คมชัด ไปจนถึงใช้ประกาศเสียงตามสาย ก็ทำได้อย่างเอนกประสงค์ มีให้เลือกหลากหลายแบบ

ไมโครโฟน หมายถึงอะไร?

หากจะถามว่าไมโครโฟนหมายถึงอะไร ตอบได้ว่านี่คือ อุปกรณ์ที่ใช้งานด้านการขยายเสียงเป็นหลัก เรียกกันย่อ ๆ ว่า ไมค์(Mic.) ช่วยทำให้เสียงปกติดังขึ้น อย่างเสียงพูดของเรา โดยไม่ต้องใช้พลังในการตะโกนออกไป ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียงให้กลายเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แล้วส่งต่อออกไปยังลำโพงอีกที

ตัวไมค์โครโฟนนิยมในการใช้งานอย่างหลากหลาย ซึ่งในปัจจุบัน มีให้เลือกตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ หรือแบบที่มีลำโพงในตัว ใช้งานทั้งในการสื่อสาร, ด้านความบันเทิง, ใช้เป็นเครื่องช่วยฟัง, เครื่องบันทึกหรืออัดเสียง และอื่น ๆ อีกมากมายที่เราสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ และด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ เราจะเห็นทั้ง ไมโครโฟนสาย และ ไมโครโฟนไร้สาย ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ คลื่นสัญญาณที่ใช้ ไปจนถึงคุณภาพของวงจรภายในด้วย

หน้าที่ของไมโครโฟน คืออะไร?

จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องใช้ไมค์โครโฟนกันหนอ… แล้วหน้าที่ของมันคืออะไร? คำตอบก็คือ เป็นตัวรับเสียงจากนั้นก็ทำการแปลงเสียงให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้า มีการประมวลผลผ่านตัวแปลงด้านในก่อนจะส่งต่อไปยังชุดขยายเสียงและอุปกรณ์อื่นที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เช่น ลำโพง เครื่องอัดเสียง เป็นต้น

จึงสรุปได้อย่างง่าย ๆ ว่า ใช้ในการ “รับเสียง” ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด เสียงร้องเพลง เสียงลม เสียงดนตรี เสียงดีดกีต้าร์ หรือเสียงอะไรก็ตามแต่ที่เราต้องการขยายเสียงให้ดังขึ้น หรือต้องการเก็บบันทึกเสียงเหล่านั้นเอาไว้ ก็จะต้องใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ช่วย ทั้งนี้รู้หรือไม่ว่าเจ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นี้จะมีการออกแบบเป็น 2 ประเภทตามความถี่คือ UHF และ VHF

  1. ไมค์ย่านความถี่ UHF ชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Ultra High Frequency ถือว่าเป็นไมค์ย่านความถี่สูงอยู่ในย่าน 794-806 MHz ซึ่งจะอยู่ในช่วงคลื่นไมโครเวฟ มีคลื่นรบกวนน้อย ความยาวคลื่นสั้นกว่า 1 เมตร เสาอากาศสั้นลง ช่วยให้ทะลุผ่านกำแพงไม่ได้ แม้กระทั่งตัวคนก็ได้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจะเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ ๆ มีสิ่งกีดขวางน้อย มักจะออกแบบมาเป็นไมโครโฟนไร้สาย ถ้าเจอสิ่งกีดขวางอย่างโลหะ หรือเครื่องเล่นวิทยุขนาดเล็ก ก็อาจทำให้เกิดสัญญาณแทรกรบกวนตามมาได้ แต่ปัจจุบันมีการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการใช้เสาอากาศ 2 เสาที่เรียกว่า Diversty ช่วยให้มีแรงส่งสัญญาณได้แรงกว่าเดิม เสียงที่ออกมาจึงชัด แบนวิทมาก ใช้งานได้หลายตัวพร้อม ๆ กันโดยไม่ทำให้เกิดปัญหา จึงนิยมใช้ในงานคอนเสิร์ต งานต่าง ๆ ที่ต้องใช้ไมค์หลายตัวพร้อมกัน ซึ่งจะไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาความถี่ตีกัน เพราะเลือกช่วง CH ได้ตามต้องการ
  2. ไมค์ย่านความถี่ VFH เอาตรง ๆ แล้วเป็นชนิดที่ไม่โดดเด่นเท่าแบบแรก มีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า Very High Frequency ย่านความถี่จะอยู่ช่วง 30-300 MHz ปัจจุบันก็มีทั้งแบบไร้สาย และมีสายในตัว การส่งสัญญาณทำได้ไกลเพราะอยู่ในคลื่นความถี่ต่ำ แต่ปัญหาเดียวที่มักชวนปวดหัวก็คือสัญญาณรบกวนจะเยอะกว่าเมื่อเทียบกับแบบแรก เสาสัญญาณมีขนาดใหญ่ เราจึงไม่ค่อยเห็น VHF ถูกใช้ในไมค์แบบไร้สายเท่าใดนัก

สรุปอีกครั้งแบบสั้น ๆ ก็คือหน้าที่ของอุปกรณ์ชนิดนี้ ถ้าคนใช้งานทั่วไปก็คือตัวช่วยให้คนอื่นได้ยินเสียงเราชัดขึ้นด้วยการพูดในระดับเสียงเท่าเดิม ไม่ต้องใช้พลังเสียงมาก ถ้าอุปกรณ์มีคุณภาพดี จะทำให้เสียงชัด ใส และส่งไปได้ไกล ดังนั้นรูปแบบของไมค์ในคลื่นความถี่ย่าน UHF จะมีราคาแพงกว่าแบบ VHF เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะเจอกับคลื่นรบกวน แถมเสียงยังมีคุณภาพมากกว่า ดังนั้นก็ลองพิจารณาหน้าที่ของมันดูว่า ถ้าเป็นคุณแล้วจะเลือกใช้แบบไหนให้คุ้มค่า

ชนิดของ ไมโครโฟน มีกี่แบบให้เลือก ?

รู้หรือไม่ว่ามีการจำแนกชนิดของไมโครโฟนสูงสุดถึง 6 ประเภทด้วยกันโดยจำแนกตามรูปแบบการทำงาน หลายคนที่เป็นมือใหม่ คงจะสงสัยว่าแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเอาจริง ๆ แล้ว เราจะไปเน้นอยู่ด้วย 2 ประเภทยอดฮิตหลัก นิยมใช้งานอย่างแพร่หลาย ส่วนที่เหลือหากใครสนใจก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้จ้า

  1. ไมค์ชนิดไดนามิค ( Dynamic Moving Coil Microphone Microphone )

    เรียกได้ว่าเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ใช้งานกันทั่วไป พบได้มากที่สุดตั้งแต่งานบันเทิงขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ คุณภาพเสียงมาตรฐานก็คือความสามารถในการครอบคลุมได้ทุกย่านความถี่ มีความทนทาน ให้เสียงที่นักแน่น ใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์ ซึ่งหลักการทำงานของเจ้าไมค์โครโฟนตัวนี้นั้น จะเริ่มต้นจากเสียงกระทบแผ่นไดอะแฟรมด้านใน เกิดเป็นกระแสไฟฟ้า จะถูกเหนี่ยวนำส่งไปยังสายสัญญาณที่เป็นเครื่องขยายเสียง ก่อนจะออกไปสู่ลำโพง ก็เพราะการรับเสียงที่ใช้งานได้ดีทั้งในย่านความถี่กว้าง สูง ต่ำ ทำให้มันเป็นอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต ประชุม อัดเสียง ร้องเพลง ฯลฯ

  2. ไมค์คอนเดนเซอร์ ( Condensor Microphone )

    ตัวของไมค์แบบคอนเดนเซอร์ ลักษณะการทำงานจะมี “แผ่นรับเสียง” ที่เรียกว่า Diaphragm ทำงานคู่กับแผ่นเพลทประกบเข้าด้วยกัน ซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บประจุต่อเชื่อมแบบอนุกรมไปที่แบตเตอรี่และตัวตัวต้านทาน ซึ่งเท่ากับว่าเจ้าแผ่นโลหะทั้งสองที่ประกบกันอยู่นั้นจะมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนเลี้ยงเอาๆไว้อยู่เสมอ โลหะที่มีความบางวางซ้อนกัน 2 แผ่น ไวต่อการกระทบ

    แม้แค่เสียงหายใจเบา ๆ เท่านั้น แผ่นโลหะก็จะรับเอาเสียงนั้นไปแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าส่งออกไปยังตัวขยายเสียงทันที ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเคาะ การพูด หรือแม้กระทั่งการขยับเพียงเบา ๆ ก็ทำให้เกิดเสียงได้ ซึ่งชนิดนี้จะมีการตอบสนองได้ดีในความถี่สูง มีขนาดเล็กกะทัดรัด คุณภาพเสียงเมื่อเทียบกับแบบแรกแล้ว ถือว่าดีกว่า การรับเสียงความถี่ครอบคลุมทุกย่านเสียง ไม่เว้นแม้กระทั่งเสียงที่หูของมนุษย์ไม่ได้ยิน เป็นไมค์โครโฟนที่นิยมใช้งานในกลุ่มมืออาชีพ อย่างห้องสตูดิโอที่ต้องมีการตัดต่อ การอัดเสียงพูดเพื่อใช้ในการร้องเพลง หรือหากจะมองให้ชัดขึ้นก็คือเป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียงที่ใช้งานการทำเสียงแบบ ASMR ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะควบคุมเสียงได้ดี

    อย่างไรก็ตามความไวในการรับเสียงของอุปกรณ์ตัวนี้จึงมักเกิดปัญหาเสียง “ป๊อป” ขึ้นมาได้ง่าย เป็นลักษณะของเสียงกระแทก ดังนั้นจึงมักจะต้องใช้อุปกรณ์คั่นกันกระแทกที่เรียกว่า pop shield วางไว้ด้านหน้า ก่อนถึงตัวไมค์เพื่อช่วยลดเสียง ดังจะเห็นได้ตามห้องอัดเสียงต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องการให้เสียงมีความนุ่ม เบา ไร้เสียงกระแทกมารบกวน และแน่นอนว่าเป็นประเภทที่ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ ๆ มีเสียงรบกวนรอบด้านเยอะ แต่จะเหมาะกับใช้ในห้องมิดชิดไร้เสียงรบกวน จะให้คุณภาพเสียงที่เยี่ยมยอดกว่ามาก

อยากซื้อไมโครโฟนจะเลือกยี่ห้อไหนดีที่ตอบโจทย์การใช้งาน?

สำหรับวิธีเลือกซื้อไมโครโฟน แม้ว่าหน้าที่หลักของมันจะไม่แตกต่างกันเลยก็ตาม ทว่าเสียงที่ออกมา และย่านคลื่นความถี่ที่ต่างกันก็มีผลกับคุณภาพเสียง และการถูกรบกวน ดังนั้นก็ต้องมาดูกันว่า คุณจะซื้อเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไปเพื่อใช้งานอะไรเป็นหลัก จะเอามาเสียบใช้งานพูดบนเวที หรือจะเอามาไว้ใช้สำหรับอัดเสียง ยกตัวอย่างมาแบบนี้ ก็เห็น ๆ กันอยู่แล้วว่าต้องเลือกซื้อให้ถูกกับการใช้งาน เพราะไมค์ที่ใช้กับคอนเสิร์ต กับแบบที่ใช้เพื่อบันทึกเสียง ยังไงก็ต้องมีข้อควรพิจารณาต่างกันอยู่หลายจุด ยังไม่รวมึงการใช้งานเพื่อกิจกรรมอื่น ๆ อีกหลากหลาย ลองมาดูเช็คกันให้ชัวร์ดีกว่าว่า เราจะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจซื้อไมโครโฟนที่คุ้มค่ากับการใช้งาน?

  1. ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร

    แน่นอนอยู่แล้วนี่คือสิ่งแรกที่เราจะต้องรู้ก่อนว่า เราซื้อไมโครโฟนมาเพื่อการอันใดหนอ… บางคนเอามาไว้ใช้ในห้องประชุม บางคนอาจต้องการซื้อเพื่อเอาไว้อัดเสียง บางคนต้องการหาไมค์ที่ใช้กับการร้องเพลงระดับใหญ่ ๆ อย่างอีเว้นท์ หรือคอนเสิร์ต ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้จะมีการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป แถมยังมีขนาด น้ำหนัก ที่ต่างกันด้วย ถ้าเราจะต้องใช้แบบพกพา ยังไงก็ต้องเลือกขนาดกะทัดรัด ใส่กระเป๋าได้ไม่เกะกะ ตามลักษณะการใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นจะซื้อทั้งทีก็ควรเลือกที่เหมาะสม จะได้ไม่แพงจนไม่คุ้มกับการใช้งาน หรือซื้อมาแบบถูก ๆ แต่ใช้งานไม่ดีจนต้องซื้อใหม่แบบเสียยากเสียง่ายตามมาได้

  2. เข้าใจประเภทของไมค์สักนิดก่อน

    มีหัวข้อด้านบนที่บอกถึงเรื่องประเภทของไมค์ว่าหลัก ๆ มีด้วยกัน 2 ชนิดใหญ่ ซึ่งก็คือแบบไดนามิคที่ใช้งานในชีวิตประจำวันกันอย่างแพร่หลาย และอีกชนิดคือไมค์คอนเดนเซอร์ที่มีการทำงานค่อนข้างละเอียด ได้เสียงที่มีคุณภาพกว่า แต่มักจะดูดเสียงรอบทิศทางเอาได้ เอาง่าย ๆ คือแบบแรกจะเหมาะสำหรับใช้ในที่แจ้ง มีเสียงรบกวนรอบ ๆ ด้านได้ดี ไม่ดูดเสียงเข้ามา ในขณะที่แบบที่สองจะใช้งานในห้องสตูดิโอเงียบ ๆ ห้องอัดที่ไม่มีเสียงรบกวน ส่วนเรื่องของคุณภาพเสียงก็อย่างที่บอกไป ดังนั้นก็ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องด้วย

  3. รูปแบบในการรับเสียงเข้าสู่ไมค์

    คนที่ไม่ได้เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นี้อย่างเป็นจริงเป็นจังอาจจะไม่รู้ว่าไมค์มีรูปแบบการรับเสียงที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ละรูปแบบของการรับเสียง ให้เราสังเกตจากข้อมูล Spec Sheet ยกตัวอย่างแบบให้เห็นภาพ คือไมค์รับเสียงแบบ Cardioid คือจะรับเอาเสียงบริเวณด้านหน้ามาเป็นหลัก ถ้าเสียงถูกส่งเข้าด้านข้าง ๆ จะมีการรับเสียงที่ลดลง หรือแบบ Omni directional เป็นแบบที่รับเสียงจากรอบทิศทาง ซึ่งเหมาะกับงานคอนเสิร์ต ในที่โล่งมากกว่า เพราะถ้าเป็นห้องมีผนังกั้น เสี่ยงที่จะเจอกับเสียงสะท้อนตีกลับมา เนื่องจากการรับเสียงที่ได้จากทุกองศาของไมค์นั่นเอง

  4. งบประมาณในการเลือกซื้อ

    อย่าคิดว่าเจ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้ถ้าราคาสูงจะดีเสมอไปนะจ๊ะ…เพราะบางครั้งที่ราคาของมันแพงจนดูน่าตกใจ ก็เพราะการเติมคุณภาพให้เหมาะสมกับการใช้งานสำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้อย่างจริงจัง ไม่ให้เกิดปัญหาจนติดขัดกลางครัน ซึ่งหลังจากเราพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ที่กล่าวไปด้านบนจนเข้าใจในระดับนึง ก็กลับมามองงบประมาณในมือของเราว่าไหวแค่ไหน แต่…ใช่ว่าจะต้องซื้อตัวแพง ๆ เสมอไป เปรียบเทียบให้เห็นกันง่าย ๆ ถ้าคุณจะซื้อมาแค่เพื่อใช้ร้องคาราโอเกะในบ้าน ก็ไม่ต้องถึงขั้นซื้อยี่ห้อที่เว่อร์จัดแบบที่นักร้องคอนเสิร์ตใช้ เพราะบางฟังก์ชั่นที่ไม่ได้ถูกใช้งาน มันก็จะกลายเป็นเสียเงินโดยใช่เหตุ แต่ถ้าใครที่ต้องใช้งานอย่างจริงจัง ตัดต่อ ใช้ในงานคอนเสิร์ต หรือใช้อัดเสียงที่มีความละเอียดสูง ก็ต้องเลือกให้ดี ๆ หน่อย ทั้งนี้ราคาก็จะแพงขึ้นมาตามคุณภาพ เป็นเรื่องที่คุณต้องคิดให้ดี ไม่งั้นจะกลายเป็นเสียเงินแบบไม่จบไม่สิ้น

ไม่ว่าจะเป็นไมค์โครโฟนแบบไหนที่คุณมองหา บอกเลยว่าที่ร้าน HVGROUP มีให้คุณได้ลองแวะเข้ามาเลือกซื้อ ทั้งขนาดเล็กแบบพกพาติดเอว เป็นไมค์สำหรับอัดเสียง หรือขยายเสียงก็มีจำหน่าย ไปจนถึงขนาดใหญ่ ใช้งานแบบจริงจังก็มีให้เลือก ทั้ง ไมค์ลอย และไมค์สายด้วยหลากหลายแบรนด์คุณภาพ มีรุ่นให้เลือกตั้งแต่ราคาถูก ๆ ไปจนถึงราคาสูงที่อัดแน่นด้วยความเจ๋งของการใช้งาน สามารถแวะเข้ามาดูสินค้ากันได้ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ก็ไม่เสียหาย แต่บอกก่อนเลยว่าที่ร้านของเรา ราคาน่าคบหา ถูกกว่าร้านไหน ๆ ในย่านนี้เลยก็ว่าได้